วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

18 เคล็ดลับสุขภาพดี


สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้าสาวๆ ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้
1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรียกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
4. เนื้อสัตว์กับผลไม้
ไม่เข้ากันถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น 14. อยากผอมต้องน้ำเย็นการดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ


ที่มา : Spicy

**เคล็ดลับ : สูตรลดเลือนรอยกระ(ผิวกาย)**


ส่วนผสม
- น้ำมันการบูรชนิดที่เป็นเอสเซนเซียลออยส์ 5-6 หยด
- เนื้อว่านหางจระเข้ 1 ถ้วยตวง
- นมสดสเตอริไรซ์ 1 ถ้วยตวง
- น้ำผึ้งบริสุทธิ์ ½ ถ้วยตวง- น้ำมันงาบริสุทธิ์ ¼ ถ้วยตวง
- ดินสอพองบด ¼-1/2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
- ปั่นเนื้อว่านหางจระเข้ นมสด น้ำผึ้ง นำมันงา และดินสอพองจนข้น เมื่อได้ครีมนมสดสมุนไพรแล้ว นำน้ำมันการบูรหยดลงไปผสมให้เข้ากัน
วิธีใช้
หลังอาบน้ำซับผิวให้พอหมาดๆ แล้วนำส่วนผสมมาขัดผิวสักครู่ พักไว้ 10 – 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
ขอบคุณข้อมูล : HEALTH CUISNE

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2552

แมงกะพรุนน้ำมันงา

สิ่งที่ต้องเตรียม

- แมงกะพรุน 1 แพ็ค
- น้ำพริกเผา 2 ช้อนชา
- น้ำมันงา 2 ช้อนโต๊ะ
- งาขาว 1 ช้อนชา
- เกลือ 1/2 ช้อนชา
- เหล้าจีน 1/2 ช้อนชา
- แตงญี่ปุ่นซอย, พริกแดงซอย สำหรับตกแต่ง
- ผักกาดหอมสำหรับรองจาน

วิธีทำ

- แมงกะพรุนแช่น้ำทิ้งไว้อย่างน้อยน้ำละ 1 ชั่วโมง แล้วล้างน้ำออก แล้วทำซ้ำซัก 3 ครั้ง หรือจนกว่าแมงกะพรุนจะหายเค็ม เพราะแมงกะพรุนยี่ห้อที่ใช้เค็มมากๆ (เป็นแมงกะพรุนอบแห้ง) ถ้าใครมียี่ห้ออื่นหรือที่ไม่เค็มก็ล้างแค่น้ำเดียวก็น่าจะใช้ได้หรือเปล่าคะ

- จากนั้นนำแมงกะพรุนที่ได้มาลวกน้ำเดือด พอลวกเสร็จรีบน้ำขี้นแช่น้ำเย็นจัดทันที หรือไม่งั้นก็ใส่น้ำแข็งลงไปด้วยยิ่งดี เพราะจะได้เนื้อแมงกะพรุนที่กรอบ แล้วพักไว้

- นำน้ำพริกเผา(เอาแต่น้ำพริกไม่ต้องเอาน้ำมัน) เกลือ กับเหล้าจีน ผสมให้เข้ากัน

- นำแมงกะพรุนขึ้นจากน้ำเย็นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ เอามาคลุกกับส่วนผสมที่เตรียมไว้ ใส่งาขาวและน้ำมันงาลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากันแล้วชิมรส

- ตักยำแมงกะพรุนใส่จานที่ตกแต่งด้วยผักกาดหอมไว้แล้ว แต่งหน้าด้วยแตงญี่ปุ่นซอยและพริกแดงซอย ก็เป็นอันว่าเรียบร้อยพร้อมเสริฟได้แล้วค่ะ ชอบอกว่าหอมน้ำมันงาม๊ากมาก



ขอบคุณข้อมูล : maewfood

ยำตำลึงทอดกรอบ


ส่วนผสม
ยอดตำลึงเด็ดเป็นใบ 300 กรัม
กุ้งชีแฮ้ตัวเล็ก 100 กรัม
น้ำมันสำหรับทอด 3 ถ้วยตวง
ส่วนผสมน้ำยำ
น้ำพริกเผา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 5 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลปี๊บ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
กะทิ (มะพร้าว 100 กรัม น้ำ 3 ช้อนโต๊ะ) 1/2 ถ้วยตวง
พริกขี้หนูซอย 5 เม็ด
ส่วนผสมแป้งชุบ
แป้งทอดกรอบ 1 ถ้วยตวง
แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเย็นจัด 1-2 ถ้วยตวง
วิธีทำ
1. ล้างยอดและใบตำลึง ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
2. ล้างกุ้งทั้งเปลือก ตัดหนวดกุ้งออก พักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำ
3. ทำแป้งชุบโดยใส่แป้งทอดกรอบ แป้งข้าวเจ้า น้ำเย็นจัด ลงอ่างผสม ผสมด้วยตะกร้อจนเข้ากันดี นำไปแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาจนส่วนผสมเย็นจัด
4. ทำน้ำยำโดยผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ น้ำมะนาว กะทิเข้าด้วยกันในถ้วย ใส่พริกขี้หนูซอยคนพอทั่วพักไว้
5. ตั้งกระทะน้ำมันด้วยไฟกลางจนร้อน นำใบและยอดตำลึงชุบแป้งให้ทั่ว ใส่ลงทอดให้สุกกรอบ ตักขึ้นบนกระดาษซับน้ำมัน กุ้งก็ชุบแป้งทอดเช่นเดียวกัน
6. ตักน้ำยำราดใส่จาน ใส่ใบตำลึงทอดกรอบ ตามด้วยกุ้งทอดกรอบ ราดน้ำยำแล้วเสิร์ฟทันที หรือจะแยกเสิร์ฟก็ได้ค่ะ
เกร็ดน่ารู้
ตำลึง อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์สูง เช่น สารเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็ง และหัวใจขาดเลือด มีแคลเซียมช่วยบำรุงกระดูกและฟัน และยังมีฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินซี และอื่นๆ อีกมากมาย จากการค้นคว้า พบว่าตำลึงมีเส้นใยอาหารที่สามารถช่วยลดอัตราเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง ในกระเพาะอาหาร อีกด้วย
จาก บีเคเคเมนู

กินดอกไม้ป้องกันโรคภัย ซ่อนกลิ่นมีสารต้านมะเร็งสูง


ทั้งกุหลาบ ดาวเรือง ซ่อนกลิ่นให้สารต้านมะเร็งสูง มีกลิ่นหอม บำรุงหัวใจ
นายสง่า ดามาพงศ์ ผู้จัดการสำนักบริหารแผนงานอาหารและโภชนาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส.เป็นผู้ประสานงานโครงการอาหารและโภชนาการ สนับสนุนการปลูกพืชปลอดสารเคมี ทั้งผักและดอกไม้
นายสง่ากล่าวถึงการนำดอกไม้มาประกอบอาหารว่า ดอกไม้มีความแตกต่างจากผักหรือใบไม้คือ มีสีหลาก หลายทั้งม่วง ส้ม แดง เหลือง ขาว เป็นการเพิ่มสารในกลุ่มไฟโตเคมีคอล เช่น สารเบต้าแคโรทีน ซึ่งดอกไม้ที่รับประทานกันอยู่แล้ว เช่น ดอกแคแกงส้ม ดอกขจร ใช้ใส่ในไข่เจียว ดอกโสนผัดไข่ แต่โครงการดอกไม้กินได้ นำดอกไม้หลาก หลายชนิดมารับประทาน เช่น ดอกซ่อนกลิ่น ดอกกุหลาบ ชบา ดาวเรือง เข็ม กล้วยไม้ ทำได้หลากหลายเมนูตั้งแต่ กล้วยไม้ทอดกรอบ ต้มจืด ยำ
"พืชผักสีม่วงแดงช่วยป้องกันมะเร็ง ส่วนเส้นใยช่วยระบบขับถ่ายดี ไม่ท้องผูก ดอกลีลาวดี หรือจำปานำมาชุบแป้งทอดสรรพคุณขับลม ขับปัสสาวะ อ่อนเพลีย ดาวเรือง บำรุงสายตา แก้ตาเจ็บ ไอ คางทูม ทาแผล หลอดลมอักเสบ น้ำมันหอมระเหยบำรุงหัวใจ แก้วิงเวียน ส่วนชบา ดาหลา สรรพคุณแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ กุหลาบ ดอกบัว มีน้ำมันหอมระเหยบำรุงหัวใจ ช่วยเจริญอาหาร ดอกลิลลี่คลายเครียด" นายสง่ากล่าว
ดร.ธนะชัย พันธ์เกษมสุข หัวหน้าโครงการเกษตรปลอดภัยจากสารพิษที่ดอยแม่วาง อำเภอแม่วาง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า หลักในการเลือกดอกไม้กินได้ ให้เลือกตามภูมิปัญญาท้องถิ่น คือ ถ้าสัตว์กินได้ คนก็กินได้ เพิ่มความมั่นใจด้วยการเลือกดอกไม้ปลอดสารพิษ ไม่ฉีดพ่นสารเคมี ซึ่งโครงการฯได้จัดแปลงสาธิตไว้ที่ดอยแม่วาง เป็นแหล่งดูงานของเกษตรกร ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงาน สสส.ตั้งเป้าหมายให้เป็น แหล่งท่องเที่ยวแบบโฮมสเตย์ รับประทานดอกไม้ นานาชนิด.
ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เคล็ดลับ : เก็บดอกกุหลาบให้อยู่นานวัน

เลือกดอกกุหลาบที่ยังตูมอยู่ เพื่อให้กลีบดอกบานในวันถัดไป และควร เลือกกิ่งก้านที่ดูแข็งแรงดี รอยตัดยังดูใหม่ๆ

- ก่อนจะตัดกิ่งกุหลาบ ให้หาดูว่า ก้านที่มีใบกุหลาบห้าใบ อยู่ช่วงไหน แล้วตัดเหนือบริเวณนั้น โดยตัดแนวเฉียงให้มากที่สุด เนื่องจากการตัดก้านแบบเฉียง จะช่วยให้ดอกไม้มีพื้นที่ที่ใช้ในการดูดน้ำมากขึ้น
- ใช้กรรไกรหรือมีดคมๆ ริดหนามออก โดยริดจากบนลงล่าง พยายาม อย่าให้มีรอยฉีกที่ก้าน จะทำให้ดอกไม้เน่าเร็ว
- นำกุหลาบไปแช่ในน้ำ ใส่ภาชนะทรงสูง โดยเติมน้ำให้ปริ่มก้าน แช่น้ำให้ชุ่มนาน 24 ชั่วโมง จึงนำไปจัดในแจกันที่ต้องการ แต่อย่าลืมเติมน้ำลงไปด้วย และหย่อนเหรียญสลึงลงไปใต้ก้นแจกัน ส่วนผสมที่เป็นทองแดงในเหรียญ จะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเป็นสาเหตุให้ดอกกุหลาบเหี่ยวเฉา


เพียงแค่นี้ ดอกกุหลาบดอกงามของคุณ ก็จะอยู่ให้คุณชื่นชมได้นาน7-10 วันเชียวล่ะ
ขอบคุณข้อมูล : สาระแน.คอม

พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่



อ่านทีไรก็ก็นึกถึงพ่อทุกทีเลย อยากบอกรักพ่อนะลองอ่านดูนะ


ชายหนุ่มเลิกงานและกลับเข้าบ้านช้า ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า และพบว่าลูกชายวัย 5 ขวบรอคุณพ่ออยู่ที่หน้าประตู

ลูก "พ่อครับ พ่อผมมีคำถามถามพ่อข้อนึง"

พ่อ "ว่ามาสิลูก,อะไรเหรอ"

ลูก "พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"

พ่อ "ไม่ใช่โกงการอะไรของลูกนี่, ทำไมถามอย่างนี้ล่ะ" พ่อตอบด้วยความโมโห

ลูก "ผมอยากรู้จริง ๆ โปรดบอกผมเถอะ พ่อทำงานได้เงินชั่วโมงละเท่าไหร่"

ลูกพูดร้องขอ

พ่อ "ถ้าจำเป็นจะต้องรู้ละก็ พ่อได้ชั่วโมงละ 20 เหรียญ"

ลูก "โอ.." ลูกอุทาน แล้วคอตก พูดกับพ่ออีกครั้ง

ลูก "พ่อครับ ผมอยากขอยืมเงิน 10เหรียญ


พ่อกล่าวด้วยอารมณ์ พ่อ "นี่เป็นเหตุผลที่แกถาม เพื่อจะขอเงิน แล้วไปซื้อของเล่นโง่ ๆ หรืออะไรที่ไม่เข้าท่าหรอกเหรอ รีบขึ้นไปนอนเลยนะแล้วลองคิดดูว่าแกน่ะ เห็นแก่ตัวมาก ชั้นทำงานหนักหลาย ๆ ชั่วโมงทุกวัน และไม่มีเวลาสำหรับเรื่อง เด็กๆ ไร้สาระอย่างนี้หรอก"

เด็กน้อยเงียบลง เดินไปที่ห้องแล้วปิดประตู ชายหนุ่มนั่งลงและยังโกรธอยู่ กับคำถามของลูกชาย เค้ากล้าที่จะถามคำถามนั้น เพื่อจะขอเงินได้อย่างไร หลังจากนั้นเกือบชั่วโมงอารมณ์ชายหนุ่มก็เริ่มสงบลง และเริ่มคิดถึงสิ่งที่ทำ ลงไปกับลูกชายตัวน้อย บางทีเขาอาจจำเป็นต้องใช้เงิน 10 เหรียญนั้นจริง ๆ และลูกก็ไม่ได้ขอเงินเขาบ่อยนัก ชายหนุ่มจึงเดินขึ้นไปบนห้องแล้วเปิดประตู


พ่อ "หลับหรือยังลูก"

ลูก "ยังครับ"

พ่อ "พ่อมาคิดดู เมื่อกี้พ่ออาจทำรุนแรงกับลูกเกินไป

นานแล้วนะที่พ่อไม่ได้คลุกคลีกับลูก , เอ้า นี่เงิน 10 เหรียญที่ลูกขอ"

เด็กน้อยลุกขึ้นนั่ง

ลูก "ขอบคุณครับพ่อ"

ว่าแล้วก็ล้วงลงไปใต้หมอนหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมา แล้วนับช้า ๆ ชายหนุ่มเห็นดังนั้นก็โกรธขึ้นอีกครั้ง


พ่อ "ก็มีเงินแล้วนี่ แล้วมาขออีกทำไม"

ลูก "เพราะผมมีไม่พอครับ แต่ตอนนี้ผมมีครบแล้ว

พ่อครับ ตอนนี้ผมมีเงินครบ 20 เหรียญแล้ว


ผมขอซื้อเวลาพ่อชั่วโมงนึง ....พรุ่งนี้พ่อกลับบ้านเร็ว ๆ นะครับ ผมอยากกินข้าวเย็นกับพ่อ ..."

เคล็ดลับ : กลิ่นมะนาวช่วยลด"เครียด"

อโรมาเทอราปี (Aromatherapy) เป็นศาสตร์ของการใช้ "กลิ่นระเหย" มาช่วยดูแลสุขภาพ ในรูปของน้ำมันระเหยที่สกัดออกมาอย่างเข้มข้น ใช้ได้ทั้งเพื่อความงาม ในรูปของเครื่องสำอาง ใช้เพื่อสุขภาพ และใช้เพื่อพิธีกรรม โดยเฉพาะเพื่อความงาม ใช้เป็นน้ำมันหอมระเหยมีคุณสมบัติในการฟื้นฟูเซลล์ผิว การขับสารพิษ การระงับเชื้อ ฯลฯ เราสามารถใช้เพื่อรักษาความอ่อนเยาว์ของผิวพรรณ ซ่อมแซมรอยแผล แต้มสิว บำรุงผม หรือการลดริ้วรอยความเหี่ยวย่น โดยใช้ในรูปแบบของโลชั่น น้ำมันนวด สบู่อาบน้ำ หรือแชมพู การใช้เพื่อสุขภาพ ด้วยคุณสมบัติของการคลายกล้ามเนื้อ ลดความเจ็บปวด การฆ่าเชื้อ ฯลฯ เราสามารถนำน้ำมันหอมระเหยมาใช้ลดอาการหรือช่วยบำรุงสุขภาพเราได้ทั้งทางกายและทางใจ โดยเฉพาะปัญหาที่เกิดจากความเครียด ซึ่งยาเคมีสังเคราะห์มีผลข้างเคียงสูง ขณะที่น้ำมันหอมระเหยเป็นสารธรรมชาติ มีการตกค้างและผลข้างเคียงที่น้อยกว่าหรือไม่มีเลย ทำและใช้กันมาตั้งแต่โบราณกาลทีเดียว

ยิ่ง "มะนาว" นักวิทยาศาสตร์และการแพทย์ศึกษาแล้วพบว่า กลิ่นของมะนาว โดยเฉพาะจากเปลือก ช่วยลดความเครียดได้ เป็นการใช้กลิ่นหอมทดแทนการใช้ยา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นมะนาวนี้ มีฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ผ่านทางผิวหนัง ช่วยระงับเชื้อจากบาดแผล แมลงกัดต่อย ฯลฯ รวมถึงกลิ่นมะนาวยังช่วยลดความดันโลหิตอีกด้วย
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง


10 ผลไม้ไทยที่มีสารต้านมะเร็งสูง
กรมอนามัยวิจัย 10 ผลไม้ไทย มีสารต้านมะเร็งสูง นางนัทยา จงใจเทศ นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า จากการทำวิจัย “องค์ความรู้เรื่องปริมาณสารต้านอนุมูลอิสระในผลไม้เพื่อส่งเสริมสุขภาพ (วิตามินซี วิตามินอี และ เบต้าแคโรทีน) ในผลไม้” ที่ทำการศึกษาในผลไม้ 83 ชนิด พบ
ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ
1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต
ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม
ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย
1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่
10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ
1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล
การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ
1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่
ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิลส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี
ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี.
ขอบคุณเนื้อหาจาก ลิซ่า

เตือนภัย อาการปวดหลังที่ต้องรีบรักษา


ใครที่รู้สึกปวดหลังบ่อย ๆ ทราบหรือไม่ว่าอาการอย่างไหนถึงต้องรีบรักษาให้ทันท่วงที วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
อาการปวดหลัง อย่าเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะกระดูกสันหลังมีความสำคัญและยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะระบบประสาท ดังนั้น เมื่อเกิดปวดหลังขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุก็อย่าปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้เรื้อรังและอาจจะเป็นสัญญาณเตือนถึงความผิดปกติในร่างกายก็ได้
ลักษณะอาการปวดหลังที่จำเป็นต้องรีบเข้ารับการรักษาอย่างทันท่วงที ได้แก่
1. อาการปวดหลังร่วมกับแขนขาชาไม่มีแรง
กลั้นปัสสาวะและอุจจาระไม่ได้ ซึ่งลักษณะอาการดังกล่าวเป็นไปได้ว่าไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ ทางที่ดีควรรีบปรึกษาแพทย์โดยด่วน เพื่อทำการเอ็กซเรย์ตรวจดูกระดูกสันหลังและหาตำแหน่งที่บาดเจ็บ บางรายเพียงให้นอนพักรักษาตัวก็อาจหายจากอาการดังกล่าวได้ แต่บางรายอาจจำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด
2. ปวดหลังบริเวณเอวและมีไข้หนาวสั่น
สาเหตุของอาการอาจเกิดจากการติดเชื้ออักเสบของไต เมื่อรักษาไตจนเป็นปกติดีแล้ว อาการปวดดังกล่าวก็จะหายไป
3. ปวดหลังจากยกของหนัก หรือออกกำลังกายมากเกินไป
รู้สึกว่าหลังขยับไม่ได้ หรือปวดร้าวไปจนถึงขาข้างใดข้างหนึ่ง อาจเกิดจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนเคล็ดไปกดทับเส้นประสาท การรักษาจะต้องให้สวมเสื้อดามหลัง และให้เข้ารับการทำกายภาพบำบัด ส่วนในรายที่อาการหนักมากอาจต้องผ่าตัด
4. ปวดหลังเรื้อรังนานเป็นแรมเดือนและปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ
หากเป็นในคนอ้วน หรือผู้ที่มีอายุมากกว่า 45 ปี อาจเกิดขึ้นเนื่องจากโรคไขข้ออักเสบ หรือกระดูกสันหลังสึกกร่อน การรักษาในกรณีนี้แพทย์จะให้ยาแก้ปวดมาทาน ให้รับการทำกายภาพบำบัด สวมเสื้อดามหลัง แนะนำให้รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมเพิ่มขึ้น ถ้าเป็นคนอ้วนมากก็จะต้องให้ลดน้ำหนัก
5. อาการปวดหลังที่เกิดในสตรีมีครรภ์
อาจเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ฮอร์โมนในร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อยึดกระดูกหย่อนยาน การแบกรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของทารก หรือมดลูกที่โตขึ้นกดทับเส้นประสาททำให้ปวดหลังจนร้าวไปถึงขาได้
รู้อย่างนี้แล้ว ถ้ารู้สึกปวดหลังแบบผิดสังเกต ก็ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน.

ขอบคุณบทความจาก เฮลท์ตี้ทูเดย์



วันพุธที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โชคชะตา...พาให้พบเจอ‏



มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้ง งง และ เสียใจ มาก ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู

เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า

หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต ในบ้านมีคนป่วยใช่มั้ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว

เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้ ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ

เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น

หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ

ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล

ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด เวลาผ่านไปสักครู่

มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป

พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ

พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2 แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน


เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด


คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง , ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย

เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่ ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อ

" เวิร์คไหมถ้าเปลี่ยนเพื่อนให้เป็นแฟน "



วันหนึ่งเราก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา เราจะดูอย่างไรว่าเขาไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อน
ผู้ชายน่ารักคนนี้เป็นแค่เพื่อนกันมานานนม แล้ววันหนึ่งเราก็เริ่มมองเห็นอะไรบางอย่างในตัวเขา เกิดนิมิตขึ้นมาว่าเพื่อนชายคนนี้ละ ใช่เลย จากเพื่อนซี้ขอเขยิบฐานะขึ้นมาเป็นแฟนได้ไหมจ้ะ
ถ้าเขาชอบเราเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็มีโอกาสสำเร็จ แต่เนื่องจากมีบางอย่างขวางกั้นเอาไว้ไม่ให้มิตรภาพเกินเลยไปกว่านั้น ต่างฝ่ายต่างก็ไปออกเดทกับคนอื่น โดยที่ไม่เคยนึกถึงกันในแง่ชู้สาวเลย อาจเพราะปัจจัยหลายอย่างที่แตกต่างกัน เช่น อายุ บุคลิกภาพ หรือภูมิหลังในชีวิต
เราจะดูอย่างไรว่าเขาไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อน
วนเวียนอยู่ใกล้
ข้อสังเกตง่ายๆถ้าเขาคิดเกินเพื่อน เขาจะชอบโผล่มาที่บ้านแล้วบอกว่าบังเอิญมาทำธุระแถวนี้ ชอบมานั่งดูทีวีรายการโปรดที่บ้านเรา ชอบมาตั้งโปรแกรมทีวีให้ ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานก็จะแวะมาดื่มน้ำเย็นตรงคูลเลอร์ใกล้โต๊ะเรา ถ้าเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัย ก็จะมาเดินเตร็ดเตร่แถวหอพักหรือในโรงอาหารที่เราอยู่เป็นประจำ
กฎธรรมดาโลกคือ เวลาผู้ชายมาติดเนื้อต้องใจเรา เขาจะหาเหตุเข้ามาอยู่ใกล้ๆเราเท่าที่ทำได้ วนเวียนไม่ยอมไปไหน คิดกำจัดให้พ้นหูพ้นตาก็ไม่สำเร็จเสียด้วย
ปกปิดชีวิตรัก
เขาจะไม่เอ่ยถึงหญิงอื่นให้ระคายหูแม้ว่ากำลังเดทคนอื่นอยู่ก็เถอะ แถมยังทำท่าเหมือนมองไม่เห็นผู้หญิงอื่นในสายตาต่อให้สวยเซ็กส์เอ็กซ์อึ๋ม ขนาดไหน ซึ่งในความเป็นจริงเขาอาจกำลังปิ๊งหญิงอื่น และบอกให้ทุกคนรู้ยกเว้นเราคนเดียว
ขณะที่ปกปิดชีวิตรักตัวเอง เขาก็จะอยากรู้เรื่องของเรา และถามนู่นถามนี่วุ่นวายไปหมด อยากรู้ว่าเราชอบผู้ชายแบบไหน อยากทำอะไรในคืนวันเสาร์ เวลาถามก็จะทำเสียงเหมือนชวนคุยเรื่องดินฟ้าอากาศ แต่ความจริงเก็บข้อมูลเอาไปใช้ในวันข้างหน้า และจะให้ความเห็นว่าคนที่เราเดทด้วยไม่ได้เรื่องสักคน เจ้าเล่ห์ไหมละ
เสนอตัวช่วยเหลือ
เขาจะพยายามเข้ามาช่วยเหลือทุกเรื่องเท่าที่ทำได้ บางครั้งเสนอตัวก่อนเราเอ่ยปากด้วยซ้ำ แถมยังนั่งฟังเราและเพื่อนๆระบายความในใจโดยไม่คาดหวังสิ่งตอบแทน ในทางกลับกันเขาจะไม่คาดหวังความช่วยเหลือใดๆจากเรา ขอแค่ให้ได้ติดต่อกับเราไว้ก็พอ
ถ้าชอบเราเกินเพื่อน เขาจะคอยยั่วเย้ากระเซ้าแหย่ทีเล่นทีจริง คอยทำให้เราหัวเราะ เขามักมองเห็นความน่ารักของเรา และหมายความเกินกว่าที่พูดเสมอ แต่พยายามทำเป็นสุขุมนุ่มลึกแต่จริงๆแล้วตื่นเต้นสุดๆเลยเชียว
ถ้าเขาคิดแค่เพื่อน
ในกรณีที่ไม่ได้สนใจเราเกินกว่าความเป็นเพื่อน เขาจะสงบ สม่ำเสมอ พูดตรงไม่มีอ้อมค้อม ขอคำแนะนำเกี่ยวกับผู้หญิงอื่น ไม่แอบซ่อนปิดบังเรื่องความรัก เขาจะเล่าและขอคำปรึกษาอย่างจริงจัง แถมยังเอ่ยชมผู้หญิงอื่นต่อหน้าโดยไม่คิดว่าเป็นการทำร้ายความรู้สึกของเรา ก็เพราะเราเป็นเพื่อนของเขานี่นา หรือไม่ก็รู้สึกเหมือนเราเป็นพี่สาวหรือน้องสาว ไม่มีอารมณ์ชู้สาวมาเกี่ยวข้องแน่นอน
เขาจะไม่สนใจชีวิตรักของเรา พอใจแค่ความเป็นเพื่อนเท่านั้น ถ้าเรายังไม่มีคนควง เขาอาจแนะนำหนุ่มอื่นให้ แต่ไม่ใช่ตัวเขาเองแน่ เขาไม่ต้องการความสัมพันธ์มากเกินกว่านี้ เพราะไม่รู้สึกอะไรกับเราในแง่นั้นเลย
ถ้าเรามีปัญหากับหนุ่มที่กำลังคบกันอยู่ เขาจะช่วยแก้ปัญหาแต่ไม่ใช่ยุยงให้เลิกรากัน เขาไม่โกรธเวลาเห็นเราอยู่กับชายอื่น เขาอยากเห็นเรามีความสุข หากเขาอิจฉาเวลาเรามีแฟน มันก็เหมือนเพื่อนผู้หญิงสุดซี้ที่อิจฉาเวลาเราไปมีแฟนนั่นแหละ เพื่อนถูกแฟนแย่งเวลาไป...ก็แค่นั้น
ในฐานะเพื่อน เขาจะช่วยเหลือเราเท่ากับที่เราช่วยเหลือเขา คบกันไปคบกันมาอาจซี้กว่าเพื่อนผู้หญิงก็ได้ หากแน่ใจแล้วว่าเขาเห็นเราเป็นแค่เพื่อน ก็คงไม่มีโอกาสยกระดับเป็นแฟนได้หรอก อย่าพยายามด้วยการจับเข่าคุยเปิดอกถึงความรู้สึกในใจของเรา มิตรภาพอาจสะดุดและเกิดความกดดันขึ้นมาได้ เขาจะรู้สึกเก้อกระดากอึดอัด แต่ก็ยังไม่พิศวาสเราอยู่ดี ยิ่งถ้าเสนอให้ลองมีอะไรกัน เหตุการณ์จะยิ่งเลวร้าย เพราะการหลับนอนครั้งนี้จะไม่มีความประทับใจเลย แถมเรายังต้องมานั่งเสียใจภายหลังอีกด้วย
อย่าฝืนถ้าเขาไม่พิศวาส
เหตุการณ์ยิ่งแย่หนักหากเราและเขาตัดสินใจออกเดทหรือแต่งงานตามความต้องการ ของเรา และเขาก็ยังไม่รู้สึกอะไร การแต่งงานจะกลายเป็นฝันร้าย เราจะเริ่มสูญเสียความมั่นใจในตัวเองว่า ทำไมเขาถึงไม่รู้สึกอะไรเลย ต้องทนใช้ชีวิตกับผู้ชายที่ต้องการแค่ความเป็นเพื่อน แล้วจะยอมมามีชีวิตแบบนี้เพื่ออะไรกันเล่า
กฎกติกามารยาทคือ ถ้าเขาไม่ชอบเราก็อย่าพยายามทำให้เขาชอบ ชีวิตทั้งชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ชายคนนี้เท่านั้น อย่าโทรหาเขา ถ้าเขาโทรมาอย่าคุยเกินสิบนาที อย่าทำตัวเป็นศิราณีแก้ปัญหาหัวใจให้เขา พยายามคบหาผู้ชายอื่น ผลักดันตัวเองออกงานสังคมเผื่อจะได้เจอว่าที่สามีในอนาคต ดีกว่ามายุ่งอยู่กับคนที่เป็นได้แค่เพื่อน
หากยังไม่แน่ใจ
แต่ถ้ารู้สึกว่าเขาอาจสนใจเรา ลองบอกหรือแสดงตัวว่ากำลังมีปัญหากับแฟนหรือตอนนี้หัวใจกำลังว่าง แล้วดูปฏิกิริยา ถ้าเขาสนใจเราเขาจะเอ่ยปากชวนเดทแน่นอน
อย่าคุยกับเขาเหมือนเพื่อน ทำตัวให้เป็นผู้หญิง นุ่มนวลอ่อนโยนลึกลับ อย่าเล่าปัญหาทั้งหมดให้เขาฟัง อย่าจู่โจมด้วยการโทรศัพท์ ฝากข้อความหรือชวนดินเนอร์ อย่าคิดว่าสามารถทำหรือพูดอะไรที่ต้องการได้ตามใจ เช่น โทรหาทุกครั้งที่ต้องการ หรือพยายามใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากกว่าเดิม โดยอ้างว่า นี่คือความรักแบบเพื่อน ถ้าเขาเคยแวะมานอนค้างคืนบนโซฟาเพราะขี้เกียจขับรถดึกๆ ก็อย่าปล่อยให้เกิดขึ้นอีก พยายามตัดบทว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าหรืออะไรก็ได้ อย่าเผลอไผลปล่อยเลยตามเลยเด็ดขาด
สาวบางรายชอบมากจนระงับใจไม่ได้ เลยใช้วิธีเดินหน้าลูกเดียว โทรหาเขาตลอดเวลาที่ว่าง คุยเรื่องการเปลี่ยนใจจากเพื่อนมาเป็นคนรัก ชวนเขามาเป็นแฟนแบบเต็มตัว พูดเรื่องแต่งงานและอนาคตร่วมกัน แค่นี้เขาก็เผ่นไม่เหลียวหลัง ผู้ชายไม่ชอบอะไรที่มากเกินไปแบบนี้ ต่อให้เป็นผู้หญิงที่เขาชอบก็เถอะ
ยังมีผู้หญิงอีกเยอะที่วันหนึ่งตื่นเช้าแล้วตัดสินใจว่า เพื่อนชายที่คบกันอยู่ทุกวันคือแฟนตัวจริงที่รู้ใจเหลือเกิน ความรู้สึกรุนแรงเสียจนแทบทนไม่ไหว ควรตรึกตรองให้ซึ้งว่า เหตุผลหนึ่งที่เขาคบเราก็เพราะเราไม่เข้าไปยุ่งกับชีวิตเขามากนัก นี่เป็นสถานการณ์ละเอียดอ่อนต้องใช้เวลาปรับตัวอีกนาน
ทั้งนี้และทั้งนั้นถ้าตัดสินใจออกเดทกับเพื่อน ควรทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป ของแบบนี้ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ใจ
ขอขอบคุณ :♥ เ ซ ง า ♥

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เคล็ดลับไม่ลับ สูตรหน้าใสด้วยมะนาว

มะนาวสารพัดประโยชน์ หยิบมะนาวจากครัวของคุณแม่มาทดลองเพื่อใบหน้าสดใสด้วยวิตามินซีจากมะนาวกันดีกว่า ...


สูตรที่ 1 : บีบมะนาว 1-2 หยด ผสมกับไข่ขาวและน้ำผึ้งอย่างละ ½ -1 ช้อนชา คนให้เข้ากันดีเป็นเนื้อเดียว แล้วนำส่วนผสมนี้มาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด สูตรนี้จะช่วยกระชับรูขุมขนแล้วทำให้หน้าขาวขึ้น


สูตรที่ 2 : ใช้น้ำมะนาวผสมกับกินสอพอง แล้วทาพอกหน้าไว้บาง ๆ ก่อนนอนทุกคืน แล้วค่อยล้างออกตอนเช้า ใช้แก้ปัญหาเรื่องสิวได้


สูตรที่ 3 : หลังจากการล้างหน้าตามปกติแล้ว ให้ใช้น้ำมะนาว ผสมน้ำในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน มาทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด วันละครั้ง ทำเป็นประจำจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องสิวได้ด้วยเช่นกัน



ขอบคุณเนื้อหารประกอบจาก สตอรี่ไทย

ที่นี่..ประเทศไทย ไม่เป็นรองชาติใดในโลก!! 1


































"หัวเฉียว"เผยคนกรุง ชอบกินวิตามิน-อาหารเสริม



"หัวเฉียว" สำรวจพฤติกรรมการบริโภควิตามิน-อาหารเสริมของคนกรุง แนะภาครัฐจับมือเอกชนให้ข้อมูลผู้บริโภครอบด้านทั้งคุณและโทษ

ดร.วรางคณา วิเศษมณี ลี หัวหน้าทีมสำรวจและผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขจากคณะสาธารณสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อม มหา วิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ เปิดเผยว่า จากการออกแบบสำรวจ "หัวเฉียวโฟกัส" พบว่า ประชาชนในกรุงเทพฯ ร้อยละ 60 เคยรับประทานวิตามินและอาหารเสริม


โดยในส่วนของวิตามินนั้น ร้อยละ 66.2 บริโภควิตามินซี ขณะที่ร้อยละ 73.8 บริโภคอาหารเสริมเพื่อบำรุงร่างกาย














นอกจากนั้นพบด้วยว่า ประชาชนร้อยละ 38.6 ทานอาหารเสริมหรือวิตามินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งหรือมากกว่า และร้อยละ 30.7 รับประทานเป็นประจำทุกวัน ในเรื่องค่าใช้จ่าย ร้อยละ 60.8 มีค่าใช้จ่ายเดือนละไม่เกิน 1,000 บาท

ผลสำรวจทัศนคติที่มีต่อวิตามินและอาหารเสริม ผู้บริโภคร้อยละ 54.2 คิดว่าการทานวิตามินและอาหารเสริมเป็นสิ่งมีประโยชน์ เพราะร่างกายอาจได้รับสารอาหารไม่ครบทุกประเภท อย่างไรก็ตาม ร้อยละ 21.6 ไม่บริโภควิตามินและอาหารเสริม เพราะคิดว่าไม่มีประ โยชน์ และก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายเพราะ การรับวิตามินหรืออาหารเสริมที่มากไป อาจเกิดสารตกค้างและเป็นอันตรายต่อร่างกาย ควรรับจากธรรมชาติดีกว่าของที่สังเคราะห์ขึ้นมา

ดร.วรพจน์ กนกกันฑพงษ์ หนึ่งในผู้ร่วมทำการสำรวจ อธิบายว่า เหตุผลที่คนส่วนใหญ่เลือกบริโภค "วิตามินซี" มากเป็นพิเศษ

น่าจะเกิดขึ้นเพราะว่าประเทศไทยอยู่ในเขตอากาศร้อนชื้น มีความผันแปรของ อากาศอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนเป็นหวัดบ่อยครั้ง คนส่วนมากทราบคุณประโยชน์ของวิตามินซีว่าสามารถช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรคภูมิแพ้ และป้องกันการเป็นโรคหวัดได้ ร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินซีขึ้นเองได้เอง จึงต้องรับประทานเสริม วิตามินซีสามารถรักษาอาการอักเสบอันเนื่องมาจากแบคทีเรียและไวรัสได้ด้วย "แต่การป้องกันโรคใดๆ ต้องใช้หลายวิธีการร่วมกัน และเราสามารถรับวิตามินซีได้จากอาหารประเภทผักและผลไม้" ดร.วรพจน์ ระบุ

ด้าน ดร.ศิริวรรณ ตันตระวาณิชย์ อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ให้ความเห็นเรื่องตลาดของอาหารเสริมในอนาคตว่า น่าจะมีการเจริญเติบโตในระดับที่สูง

เนื่องจากปัจจุบันประชาชนหันมาใส่ใจกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ผู้คนยังคงต้องการมีสุขภาพที่ดี และ "โฆษณา" ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ตลาดอาหารเสริมยังอยู่ได้และมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น

ด้วยเหตุนี้ ทั้งภาคราชการและผู้ประกอบการจึงควรให้ข้อมูลการบริโภควิตามิน-อาหารเสริมกับประชาชนทั้งคุณและโทษ รวมถึงปัจจัยความคุ้มค่าในเรื่องราคาด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือข่าวสด


วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องจริง 38 ข้อ อาจไม่ฮา แต่..บางคนต้องเคยเจอ




































1.ฝนมักจะตก ในวันที่เราไม่พกร่ม และฝนจะไม่ตกในวันที่เราพกร่มมา...
2.เวลาอยู่ต่อน่าคนที่เราชอบ ต่อให้เราเป็นคนพูดมากแค่ไหน จะกลายเป็นใบ้ไปทันที แต่พอได้เป็นแฟนกัน ก็กลับมาพูดมากเหมือนเดิม
3.เข้าคิวที่ไหนต้องมีคนแซงที่นั้น....
4.ทิ้งอะไรไป ชอบมาเสียดายทีหลัง
5.คำว่า"รัก"ยากที่จะพูดยากที่จะฟัง
6.สอบวันพรุ่งนี้ อ่านวันนี้ ทั้งที่มีเวลาอ่านก่อนน่านี้ เป็นเดือน ชอบมาอ่านวันสุดท้าย
7.อยากประกวด อะไรก็ชั่ง แต่กลัวแพ้
8.ผู้หญิงชอบ ช้อปปิ้ง ผู้ชายชอบนั่งนิ่งๆ
9.กลัวแฟนเรามีคนอื่น แต่ใจเรา ดันมีกิ๊กซะเอง
10.เปลี่ยนมือถือใหม่ แพงหูฉี่ แต่ใช้เพียงโทรเข้า-โทรออก-ถ่ายรูป-ส่ง Sms แค่นั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่อีก
11.รอรถเมล์สายไหนมักไม่มา
12.ไอ้พวกบอกว่า"รักใครน่าตา..ไม่สำคัญ" ไม่จริงหรอก น่าเป็นศพ ยังจะเอาป่าวละ?? อย่างน้อยมันก็มีหวังอยากได้น่าตาดีกัลบางละ
13.ซื้อหวยอย่างตั้งใจมักไม่ถูก จะถูกเมื่อไม่ตั้งใจ
14.คนเมามักบอกว่า"ม่ายยยมาววววว"
15.ของที่มีอยู่ไม่กิน ของที่อยากกิน ดันไม่มี
16.ช่วงอกหัก..เดินไปไหนก็เจอแต่ชื่อคนๆนั้น
17.ใครยืมตังบอกว่า"เด๋วคืน" มันไม่คืนง่ายๆแน่นอน
18.เกาหลังที คันไปทั่วทั้งหลัง
19.มีแม่คนไหนไม่ขี้บ่นบ้าง





















20.ของแพงมักไม่อร่อย ของอร่อยมักอยู่ข้างทาง
21.นัดกันที่ไร ต้องมีคนมาสายซักคน
22.โทรศัพท์ ชอบมาตอนนอน
23.นาฬิกาปลุกซื้อมาใช้... แต่ไม่อยากได้ยินมันปลุก
24.เงิน...ไม่ได้ใช่ แต่ไม่รุ้ทำไม่ หายไปไหนหมด
25.คบกะแฟนอยู่ แล้วคิดว่าต้องได้เลิกกัน ...ไม่ช้าก็เร็วได้เลิกแน่นอน ดังนั้นอย่าไปคิด คบไปเรื่อยๆแหละดี
26.ตอนเป็นแฟน..เธอน่าตาดีที่สุด หลังแต่งงาน...ทุกคนล้วนดูดีกว่าเธอ
27.ความรักมักมอบ...น้ำตาเป็นของแถม ไม่ระบุว่ารักใคร ไม่ได้ระบุว่า น้ำตาที่ออกมาเป็นแบบไหน อาจสุข ทุกข์ต่างกัน
28.ความทุกข์มาเร็ว...ไปช้า ความสุขมาช้า..ไปเร็ว
29.ใบแจ้งหนี้มักทำให้เราตกใจเสมอ
30.ผลสอบออก ตื่นเต้นทุกที
31.ถ้าพูด"พรุ่งนี้จะดีขึ้น" แสดงว่า วันนี้เรากำลังแย่
32.เกลียดใครมักได้คนนั้น
33.มีเรื่องสำคัญทีไร โทรศัพท์ ใช่ไม่ได้ทุกที เงินหมดเอย สัญญาณหายเอย เอาเข้าไปชีวิต
34.คำว่า"รอ"ไม่มีกำหนดการแน่นอน
35.ท้อง ตั้งใจผลิต มักไม่มี .. แต่ จะท้อง เมื่อเราไม่ได้ตั้งใจ
36.ชีวิตได้เปลี่ยนไป...เพราะวันนั้นวันเดียว
37.โลกสร้างตาไว้ข้างน่าให้เรา เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ
38.สุดท้าย ปาฏิหารย์ มักเกิดกับคนที่ไม่ท้อ


ขอบคุณบทความจาก ชุมชนการเรียนรู้

เหงื่อไหล ไคลย้อย เรื่องธรรมดาที่อาจผิดปกติ







เหงื่อไหล ไคลย้อย เรื่องธรรมดาที่อาจผิดปกติ (ไทยโพสต์)



ภาวะเหงื่อออกมากตอนหน้าร้อน หรือเมื่อต้องไปอยู่ท่ามกลางแสงแดดนั้น เป็นเรื่องปกติ บางคนอาจจะมีเหงื่อออกมากจนผิดปกติ แค่นั่งเฉย ๆ อยู่ห้องแอร์ เหงื่อก็ไหลชื้นแฉะไปทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ามือฝ่าเท้า ที่แย่ที่สุดก็คือภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติบริเวณใต้วงแขน



ปัญหาเหงื่อไหลไคลย้อยดังกล่าว พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน เปิดเผยว่า ภาวะนี้เจอได้ 2-3% ของคนทั่ว ๆ ไป แต่มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่ต้องพบแพทย์เพราะควบคุมด้วยการใช้ยาดับกลิ่นระงับเหงื่อ หรือโรลออนปกติแล้วเอาไม่อยู่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีพิเศษ



หากเหงื่อออกมากเฉพาะส่วน เช่น รักแร้ ฝ่ามือ-ฝ่าเท้า มักจะหาสาเหตุของโรคไม่เจอ บางคนก็บอกว่าถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ถ้ามีเหงื่อออกมากมายตลอดทั้งตัว บางครั้งต้องหาสาเหตุเหมือนกัน เพราะบ่อยครั้งที่มีโรคภายในร่างกายที่พบได้บ่อยก็ ได้แก่ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ผู้หญิงใกล้วัยทองที่เรียกว่า Hot flush หรือมีอาการสะบัดร้อน สะบัดหนาว อยู่ในห้องแอร์อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา คนอื่นเขาใส่เสื้อหนาวนั่งทำงาน แต่ผู้หญิงใกล้วัยทองบางคนอาจจะเหงื่อแตกไปทั้งตัว บางคนมีการติดเชื้อผิดปกติบางอย่าง มีไข้สูง ๆ ต่ำ ๆ เป็นบางช่วง เช่น เป็นวัณโรคแอบแฝงก็ทำให้มีเหงื่อออกมากได้ รวมไปถึงมะเร็งบางชนิดก็อาจจะทำให้คุณมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ ซึ่งคงต้องสืบหาสาเหตุให้เจอ



สำหรับเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะส่วน โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การรักษาง่าย ๆ โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 10-15% ทาใต้วงแขน ก็มักจะช่วยระงับเหงื่อที่มากผิดปกติ รวมไปถึงช่วยดับกลิ่นได้ด้วย แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากใช้เปอร์เซ็นต์สูงเกินไป ก็มีผลให้เกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากผิวใต้วงแขนนั้น มักจะเป็นผิวอ่อน บอบบาง



แต่พวกโรลออนดับกลิ่นตัวนั้น มักจะไม่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ จึงได้แค่ลดกลิ่น แต่ไม่ระงับเหงื่อ หากใครเหงื่อออกมากที่มือและเท้า ทางการแพทย์เราใช้วิธีการทำไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) ให้แช่มือและเท้าในอ่างน้ำ พร้อมกับปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ จากเครื่องไอออนโต จะช่วยไประงับการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยต้องนั่งแช่อยู่ประมาณ 10-20 นาที และก็ต้องทำกันหลาย ๆ ครั้ง อย่างน้อย ๆ 6-10 ครั้ง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง กว่าจะรู้สึกเห็นผล และได้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แม้เมื่อภาวะเหงื่อออกตามมือตามเท้าดีขึ้นแล้ว ก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำไอออนโตกันบ้าง ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ มิฉะนั้นก็จะกลับมาเหงื่อมากผิดปกติอีก



ถัดมาก็เป็นเรื่องของการใช้ยา สาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมากนั้น ก็เพราะว่ามีการกระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติหลั่งสารที่เรียกว่า อะซิติลโคลีน (Acetylcholine) จากปลายประสาทมากผิดปกติ จนไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแพทย์บางคนก็จะแนะนำให้ใช้ยาต้านกระแสประสาทที่เรียกว่า Anticholinergics ซึ่งควรจะใช้ในรายที่มีเหงื่อออกมากทั้งตัว เพราะถ้าหากเป็นเฉพาะที่รักแร้ แล้วต้องกินยาอาจมีผลเสียไปบล็อกกระแสประสาททั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการมึนงง การควบคุมระบบปัสสาวะผิดปกติ ปากแห้ง และอื่น ๆ ตามมาได้



ใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับและผ่าน FDA ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2004 นั่นก็คือการใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน A ฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ สารตัวนี้ก็คือเจ้าโบท็อกซ์นั่นเอง "แปลว่าหากใครเป็นโรคนี้ ก็คงต้องทำใจที่จะโดนฉีดโบท็อกซ์ เจ็บตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ กัน ปีละ 1-2 ครั้ง ข้อดีก็คือ ช่วยลดภาวะกลิ่นตัวไปด้วยพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเมื่อเหงื่อออกน้อย การหมักหมมของแบคทีเรียก็น้อย ก็จะทำให้กลิ่นตัวน้อยตามลงไปด้วย อาจมีข้อแทรกซ้อนได้บ้าง นั่นก็คือรอยฟกช้ำดำเขียวจากจุดที่ถูกเข็มฉีดยาจิ้ม และบางครั้งตัวยาโบท็อกซ์อาจจะซึมลึกไปมีผลถึงกล้ามเนื้อลึก ๆ ใต้วงแขน จนบางคนรู้สึกชาไปบ้าง แต่ก็มักจะหายได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์" คุณหมอพักตร์พิไลกล่าว


คุณหมอย้ำว่า การดูแลสุขภาพร่างกายส่วนนี้ไว้บ้างเป็นเรื่องไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งอาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บแอบแฝง ซึ่งคงต้องปรึกษาแพทย์ดู เพื่อที่จะรู้ว่าคุณมีปัญหาโรคอื่น ๆ หรือไม่ ถ้าหากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่น ๆ แล้ว การดูแลรักษาสุขลักษณะส่วนตัว ก็จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองที่ดี อย่างน้อยเริ่มต้นด้วยการอาบน้ำ ทำความสะอาดตัวเองให้ได้เป็นประจำ ใช้ยาระงับกลิ่น (Deodorant) และยาระงับเหงื่อ (Antiperspirants) และอาจใช้แป้งฝุ่น แป้งเด็ก เข้ามาช่วยสักนิดหนึ่ง เลือกเสื้อผ้าอีกสักหน่อย เพราะหากใช้เสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาจากวัสดุสังเคราะห์ มักจะมีผลให้การระบายเหงื่อไม่ค่อยดี เลือกใช้ผ้าฝ้ายจะช่วยให้เหงื่อที่ไหลออกมานั้น ระเหยหายไปได้เร็วกว่า ไม่ติดเหนียวอยู่ที่ตัว หากจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องถึงมือคุณหมอ ทำไอออนโตหรือทำการฉีดโบท็อกซ์ซะ จะได้หมดห่วง หมดกังวลกับปัญหานี้





ขอขอบคุณข้อมูลจาก




7 ความลับ ที่ (เรา) อยากบอก


ความลับเกี่ยวกับตัวคุณ ที่ (เรา) อยากบอก (ไทยรัฐ)

โดย Liz Vaccariello


เชื่อหรือไม่ว่า สัญชาตญาณในการดมกลิ่นของคุณหรือความยาวของนิ้วมือคุณ สามารถทำนายถึงสุขภาพในอนาคตของคุณได้ นักวิทยาศาตร์พบว่า ลักษณะทางกายภาพที่แน่นอนของคนเรา สามารถแสดงให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ เบาหวาน หรือมะเร็ง ซึ่งถ้าคุณมีลักษณะบางอย่างที่จะกล่าวต่อไป ขอให้อย่าเพิ่งตกใจ เพียงแค่เป็นข้อควรระวังเท่านั้น เริ่มจาก


1. ความยาวของนิ้วมือ

จากผลการวิจัยของอังกฤษ พบว่าคุณสุภาพสตรีท่านใดที่มีความยาวของนิ้วชี้น้อยกว่านิ้วนางหล่ะก็ นั่นแสดงว่า คุณมีโอกาสตกอยู่ในภาวะโรคข้อกระดูกเสื่อมที่หัวเข่ามากกว่าคนที่ีนิ้วชี้ ยาวกว่านิ้วนางถึง 2 เท่า นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบอีกว่า สำหรับผู้ชายที่มีนิ้วชี้สั้นกว่านิ้วนาง แสดงว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในระดับต่ำ ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดโรคไขข้อกระดูกอักเสบ ข้อแนะนำ พยายามทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ หัวเข่าของคุณแข็งแรงขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ก็ให้พยายามยืดขาของคุณแต่ละข้างให้ตรงในแนวที่ขนานกับพื้น ประมาณ 10 ครั้ง และหดขาเข้ามาประมาณ 5-10 วินาที


2.ความยาวของขา

ถ้าขาทั้ง 2 ข้างของคุณมีลักษณะสั้นม้อต้อ คำเตือนคือ คุณต้องหมั่นดูแลรักษาตับของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ผู้หญิงที่มีความยาวของขาระหว่าง 20-29 นิ้ว มีแนวโน้มว่าจะมีอัตราของเอนไซม์ 4 ตัวที่สูงเกินไปจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ นักวิจัยยังระบุอีกว่า ปัจจัยเรื่องของอาหารการกินในวัยเด็กนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงพัฒนาการของตับในตอนโตอีกด้วย ข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงกระบวนการที่จะส่งสารพิษไปยังตับของคุณ เพราะนั่นจะช่วยทำให้ตับของคุณมีสุขภาพดีและยืดอายุการทำงานของมัน และคุณไม่ควรลืมสวมถุงมือหรือหน้ากากทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารอันตราย หรือสารเคมี ที่สำคัญต้องจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกฮอล์ต่อวันด้วย


3.สัญชาตญาณในการดมกลิ่น

จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือวัยรุ่นที่ไม่สามารถระบุกลิ่นของกล้วย มะนาว ชินนามอน (อบเชย) หรือกลิ่นของสิ่งอื่นๆได้ แน่นอนว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสันภายใน 4 ปีมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า พื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นส่วนที่แรกที่จะส่งผล ต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน บางครั้งอาจต้องใช้เวลาถึง 2-7 ปีกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เห็น


4.ความยาวของแขน

ผลการวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Tufts พบว่า สำหรับผู้หญิงที่มีแขนค่อนข้างสั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่มีท่อนแขนยาว ซึ่งคุณผู้หญิงสามารถทดสอบได้โดยการกางแขนของคุณขนานไปกับพื้นแล้ววัดความ ยาว หากน้อยกว่า 60 นิ้วถือว่ามีความยาวของแขนค่อนข้างน้อย ข้อแนะนำ พยายามทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอะไรที่ต้องใช้การยืดแขนของคุณ เช่น การวาดภาพ ทำงานปั้น เป็นต้น จากผลการศึกษากว่า 5 ปี ของศูนย์อัลไซเมอร์ มหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์รัช พบว่า วัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนมากทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน หรือสมอง มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย 2.5 เท่า


5.รอยพับหรือรอยย่นที่ใบหูส่วนล่าง

ลักษณะรอยย่นที่เป็นเส้นตรงที่ปรากฏบนใบหู ไม่ว่าข้างเดียวหรือสองข้าง สามารถทำนายอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งหากเป็นรอยพับที่หูข้างเดียว นั่นแสดงว่าคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 33% แต่ถ้าเป็นทั้งสองข้างนั่นแสดงคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 77% อย่างไรก็ตามแม้ลักษณะดังกล่าวจะไม่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยอาการดังกล่าวที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาด ไฟเบอร์ที่ช่วยด้านความยืดหยุ่น ข้อแนะนำ พยายามช่วยให้หัวใจของคุณแข็งแรงด้วยการควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดคอลเรสเตอรอลและความดันในเลือด

6.ขนาดกางเกงยีนส์

จากรายงานด้านประสาทวิทยา พบว่าวัยรุ่นที่มีพุงค่อนข้างใหญ่ จะเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิต หรือโรคจิตเสื่อม เพราะจากการศึกษาพบว่าในคนที่มีพุงหรือหน้าท้องใหญ่ เท่ากับว่าพวกเขามีไขมันที่เป็นอันตรายอยู่ใต้ผิวหนัง และเกาะอยู่ตามระบบอวัยวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมระบบของความรู้สึกนึกคิด ข้อแนะนำ ใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น หันมาเลือกทานพวกน้ำมันมะกอก ถั่ว เมล็ดอโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต เพื่อป้องกันไขมันที่เป็นอันตราย

7.ขนาดของหน้าอก

จากผลการศึกษาของฝรั่งเศสพบว่า ผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดเล็กขนาด 13 นิ้วหรือน้อยกว่า มีแนวโน้มจะเกิดคราบหรือตัวสกัดกั้นเส้นเลือดสำคัญบริเวณลำคอ อันจะก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน นักวิจัยบอกว่า ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังในผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่จะมีมากกว่าคนที่หน้าอกเล็ก ซึ่งไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่ดึงไขมันตามเส้นเลือดและเก็บมันไว้ เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว ข้อแนะนำ จากผลการวิจัยพบว่าหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียววันละ 5 แก้วหรือมากกว่านั้น จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ หรือภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลันได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทรัฐ

สุขภาพ นมวัว กับ นมถั่วเหลือง นมไหนดีกว่ากัน















"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"


คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัด ๆ เลย
ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น
พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า
เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว
หากเป็นนมถั่วเหลืองธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้น ๆ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

เคล็ดลับจอดรถเข้าซอง แบบขนาน











วิธีจอดรถข้างถนนเมื่อมีช่องว่างระหว่างรถสองคันให้เราเข้าจอดตรงกลาง


1.สังเกตที่จอดควรมีที่ว่างอย่างน้อยเท่ากับรถเราบวกกับอีกราวๆ 51 ฟุต

2.ขับเลยไปจอดขนานกับคันหน้า โดยให้รถเราห่างจากรถข้างๆประมาณ 2 ฟุต

3.ถอยรถพร้อมหักพวงมาลัยจนสุด ถอยช้าๆจนท้ายรถมุมด้านติดถนนของรถเราชี้ตรงไป
หน้ารถคันหลัง มุมด้านติดถนน

4.คืนพวงมาลัยกลับ ให้อยู่แนวตรง

5.ถอยต่อจนเลยรถคันหน้าเต็มคัน หักพวงมาลัยจนสุดอีกครั้ง และถอยช้าๆจนเข้ามาห่างจากรถคันหลังประมาณ 1 ฟุต

6.คืนพวงมาลัยและเลือนรถไปด้านหน้าช้าๆจนขนาน





ขอบคุณข้อมูล : สะกิด.คอม

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โคมลอย ทำไมต้องลอยโคม?


โคมลอยที่เราเห็นๆกัน ว่านิยมลอยกันในเทศกาลลอยกระทง ทางภาคเหนือ ทำไมถึงต้องลอย และเขาลอยกันเพื่ออะไร?
โคมลอย นิยมลอยกันในเทศกาลลอยกระทง ทางภาคเหนือเรียกว่าประเพณี ยี่เป็ง เป็นประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา ซึ่งหมายถึงวันเพ็ญเดือน 2 เป็นการนับเดือนตามจันทรคติ โดยคำว่า ยี่เป็ง เป็นภาษาเหนือ ยี่ แปลว่า สอง และคำว่า เป็ง ตรงกับคำว่า เพ็ง หรือ เพ็ญ หมายถึงพระจันทร์เต็มดวง คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 2 นั่นเอง
โคมลอย ที่คนท้องถิ่นล้านนาส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า ว่าว สามารถแบ่งย่อยได้สองประเภท ได้แก่ โคมลอยกลางวัน (ว่าวโฮม-ว่าวควัน) กับ โคมลอยกลางคืน (ว่าวไฟ) นอกจากนี้ยังมีโคมแขวน ที่จัดเป็นโคมอีกชนิดเช่นกันเพียงแต่ใช้แขวนตามบ้านเรื่อนไม่ได้ใช้ลอย
โดยโคมที่ใช้ลอยกลางวันนั้น จะใช้กระดาษที่มีสีสันจำนวนหลายสิบแผ่นในการทำ เพื่อให้เห็นในระยะทางไกลแม้จะอยู่บนท้องฟ้า จะมีการตกแต่งด้วยการใส่หาง หรือขณะที่ทำการปล่อยมักใส่ลูกเล่นต่างๆเข้าไปด้วย เช่นใส่ประทัด ควันสี เครื่องบินเล็ก ตุ๊กตากระโดดร่ม เป็นต้น บางท้องที่นิยมใส่เงินลอยขึ้นไปอีกด้วย วิธีการปล่อย จะต้องใช้การรมควันให้เต็มโคม เมื่อได้ที่แล้วจึงปล่อย
ส่วนโคมลอย ที่ใช้ลอยกลางคืน นิยมใช้กระดาษสีขาว เนื่องจากจะโปร่งแสงเมื่อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ขนาดก็จะย่อมกว่าโคมลอยกลางวัน วิธีการปล่อยจะใช้เชื้อไฟ หรือขี้ไต้ จุดเพื่อให้ความร้อนส่งโคมลอยขึ้นบนฟ้า จะมีการเพิ่มเติมดอกไม้ไฟน้ำตก ดาวตก ประทัด เพื่อเพิ่มสีสันอีกด้วย
กุศโลบายของการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รวมทั้งเชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ ให้ประสพแต่สิ่งดีงาม สร้างความสามัคคี และที่สำคัญเป็นการอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย

วุฒิชัย วงค์ษาสิงห์ เรื่อง

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กินข้าวเหนียว สร้างสารอาหารและบำรุงผิวพรรณ


ข้าวเหนียว เป็นธัญพืชที่รองลงมาจากข้าวที่คนเรานิยมรับประทานกัน เพราะให้ความเหนียว ความมัน มีรสชาติที่น่ารับประทาน ความเชื่อของคนโบราณเชื่อว่า ข้าวเหนียวเป็นสิ่งที่ธรรมชาติมอบให้ ซึ่งมีทั้งข้าวใหม่และข้าว ข้าวใหม่มี คุณสมบัติออกฤทธิ์ร้อน นิยมปลูกในนาลุ่มที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์ หรืออาจจะปลูกในที่ดอนก็ได้ที่เรียกว่าข้าวไร่ทางภาคเหนือ พันธุ์ของข้าวเหนียวมีอยู่ด้วยกันหลายสายพันธุ์ แต่ที่คนส่วนใหญ่เห็นจะมีอยู่สองสี คือ ข้าวเหนียวที่มีสีขาว และข้าวเหนียวดำ ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวเร็วเม็ดจะแข็งกว่า ข้าวเหนียวที่เก็บเกี่ยวช้า แต่คนโบราณจะนิยมนำข้าวเหนียว ที่เก็บได้ใหม่หลังจากที่สีแล้วไปฝากกัน ซึ่งทำให้ผู้รับรู้สึกว่าเหมือนกับตัวเองได้ทำนาเองและมีความปราบปลื้มใจมาก ถึงแม้ว่าจะมันจะไม่เยอะก็ตาม การหุงต้มข้าวเหนียวจะทำเช่นเดียวกับข้าวสารไม่ได้ เพราะข้าวเหนียวมีความแน่นมากกว่า ในการหุงต้มจึงนำข้าวเหนียวแช่น้ำเสียก่อน ไม่น้อยกว่า 3 ชั่วโมง หากมีความต้องการที่จะใช้ในเวลารวดเร็วใช้น้ำอุ่นแช่ การนำสารส้มเพียงเล็กน้อย มาใส่ลงในข้าวเหนียวขณะที่แช่ จะช่วยให้ข้าวเหนียวขาวสะอาดขึ้น เราจะเห็นได้ว่าคนภาคอีสานส่วนใหญ่จะนิยมรับประทานข้าวเหนียวกันมากกว่าข้าวเจ้า เพราะข้าวเหนียวรับประทาน แล้วจะรู้สึกอิ่มท้องมากกว่าและอยู่ได้นาน แต่การรับประทานมากเกินไปจะก่อให้เกิดอาการไฟธาตุพิการได้ง่าย ผู้สูงอายุไม่ควรที่จะรับประทานข้าวเหนียวให้มากเพราะจะทำให้ติดคอได้ ข้าวเหนียวสามารถแปรรูปไปเป็นอาหารอื่นได้ ส่วนใหญ่จะทำเป็นขนมมากกว่า เช่นเทศกาลตรุษจีนก็ทำขนมแข่ง เทศกาลออกพรรษาคนในสมัยก่อนก็จะทำข้าวต้มลูกโยน ข้าวต้มผัด ข้าวหลาม ข้าวเหนียวหมูปิ้ง ข้าวเหนียวมะม่วง ข้าวเหนียวนึ่งกิน กับส้มตำ หรืออื่นๆ อีกมากมาย นอกจากข้าวเหนียวจะมีประโยชน์ทางด้านอาหารแล้ว ยังมี ประโยชน์ต่อร่างกายด้วย เช่น- บำรุงร่างกาย- ช่วยขับลมในร่างกาย- สร้างสารอาหาร- เสริมสมรรถภาพกระเพาะอาหาร- ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เนียนขึ้น โดยการ นำข้าวสารแช่ให้นุ่มแล้วโดยปั่นในเครื่องปั่น ผสมกับใบตำลึงอ่อน สัดส่วน 1 ต่อ 1 นำมาพอกกับผิวหน้า ผิวกายทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำ ให้ค่อยๆ จางหายไป ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้งไม่ว่าจะ เป็นข้าวเหนียวหรือข้าวเจ้าก็มีประโยชน์กับร่างกายเหมือนกัน ถ้าเรารู้จักถึงคุณค่าและรู้จักที่จะนำไปแปรรูปให้เกิดประโยชน์ต่อไป


ขอบคุณ th.88db.com

กินถั่ววันละ 1 กำมือลดความเสี่ยงโรคหัวใจลงได้


นักวิจัยสเปนแนะนำด้วยความหวังดีว่า ให้กินถั่ววันละ 1 กำมือสักหนึ่งปี ร่วมกับกินอาหารสไตล์แบบเมดิเตอร์เรเนียน ที่มีผักผลไม้และปลาเป็นหลัก จะช่วยล้างความเสี่ยง ต่ออันตรายของโรคหัวใจที่มีอยู่ในตัวให้หมดลงได้
พวกเขายังเห็นผลว่าการกินถั่วร่วมด้วย ยังให้คุณดีกว่าการบำรุงด้วยน้ำมันมะกอก อย่างที่ใช้อยู่ในอาหารแบบเมดิเตอร์ เรเนียนเสียอีก แม้ว่าทั้งสองอย่างจะช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ได้มากกว่าอาหารที่มีไขมันน้อยด้วยกัน
วารสารทางวิชาการ “อายุรศาสตร์” ของสหรัฐฯ รายงานผลการศึกษา เผยว่า ในการทดลองผู้ที่ได้รับผลดีที่สุดเป็นผู้ที่ได้รับการแนะนำให้กินถั่ววอลนัท ถั่วอัลมอนด์ และถั่วเฮเซล แม้ว่าโดยเฉลี่ยจะไม่ทำให้น้ำหนักตัวลดลง แต่เกือบทุกคนก็พุงยุบ และปริมาณไขมันในเลือด และความดันเลือดลดต่ำลง
ดร.จอร์ดิ วาลาส วลวาโด แห่งมหาวิทยาลัยโรวิรา ไอ เวอร์จิลิ ของสเปน หัวหน้าคณะวิจัย กล่าวบอกว่า อาหารพวกถั่วช่วยให้อิ่มเร็วและยังช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ทั้งยังอุดม ด้วยสารป้องกันการอักเสบอีกด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ