วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

เรื่องจริง 38 ข้อ อาจไม่ฮา แต่..บางคนต้องเคยเจอ




































1.ฝนมักจะตก ในวันที่เราไม่พกร่ม และฝนจะไม่ตกในวันที่เราพกร่มมา...
2.เวลาอยู่ต่อน่าคนที่เราชอบ ต่อให้เราเป็นคนพูดมากแค่ไหน จะกลายเป็นใบ้ไปทันที แต่พอได้เป็นแฟนกัน ก็กลับมาพูดมากเหมือนเดิม
3.เข้าคิวที่ไหนต้องมีคนแซงที่นั้น....
4.ทิ้งอะไรไป ชอบมาเสียดายทีหลัง
5.คำว่า"รัก"ยากที่จะพูดยากที่จะฟัง
6.สอบวันพรุ่งนี้ อ่านวันนี้ ทั้งที่มีเวลาอ่านก่อนน่านี้ เป็นเดือน ชอบมาอ่านวันสุดท้าย
7.อยากประกวด อะไรก็ชั่ง แต่กลัวแพ้
8.ผู้หญิงชอบ ช้อปปิ้ง ผู้ชายชอบนั่งนิ่งๆ
9.กลัวแฟนเรามีคนอื่น แต่ใจเรา ดันมีกิ๊กซะเอง
10.เปลี่ยนมือถือใหม่ แพงหูฉี่ แต่ใช้เพียงโทรเข้า-โทรออก-ถ่ายรูป-ส่ง Sms แค่นั้น แล้วก็เปลี่ยนใหม่อีก
11.รอรถเมล์สายไหนมักไม่มา
12.ไอ้พวกบอกว่า"รักใครน่าตา..ไม่สำคัญ" ไม่จริงหรอก น่าเป็นศพ ยังจะเอาป่าวละ?? อย่างน้อยมันก็มีหวังอยากได้น่าตาดีกัลบางละ
13.ซื้อหวยอย่างตั้งใจมักไม่ถูก จะถูกเมื่อไม่ตั้งใจ
14.คนเมามักบอกว่า"ม่ายยยมาววววว"
15.ของที่มีอยู่ไม่กิน ของที่อยากกิน ดันไม่มี
16.ช่วงอกหัก..เดินไปไหนก็เจอแต่ชื่อคนๆนั้น
17.ใครยืมตังบอกว่า"เด๋วคืน" มันไม่คืนง่ายๆแน่นอน
18.เกาหลังที คันไปทั่วทั้งหลัง
19.มีแม่คนไหนไม่ขี้บ่นบ้าง





















20.ของแพงมักไม่อร่อย ของอร่อยมักอยู่ข้างทาง
21.นัดกันที่ไร ต้องมีคนมาสายซักคน
22.โทรศัพท์ ชอบมาตอนนอน
23.นาฬิกาปลุกซื้อมาใช้... แต่ไม่อยากได้ยินมันปลุก
24.เงิน...ไม่ได้ใช่ แต่ไม่รุ้ทำไม่ หายไปไหนหมด
25.คบกะแฟนอยู่ แล้วคิดว่าต้องได้เลิกกัน ...ไม่ช้าก็เร็วได้เลิกแน่นอน ดังนั้นอย่าไปคิด คบไปเรื่อยๆแหละดี
26.ตอนเป็นแฟน..เธอน่าตาดีที่สุด หลังแต่งงาน...ทุกคนล้วนดูดีกว่าเธอ
27.ความรักมักมอบ...น้ำตาเป็นของแถม ไม่ระบุว่ารักใคร ไม่ได้ระบุว่า น้ำตาที่ออกมาเป็นแบบไหน อาจสุข ทุกข์ต่างกัน
28.ความทุกข์มาเร็ว...ไปช้า ความสุขมาช้า..ไปเร็ว
29.ใบแจ้งหนี้มักทำให้เราตกใจเสมอ
30.ผลสอบออก ตื่นเต้นทุกที
31.ถ้าพูด"พรุ่งนี้จะดีขึ้น" แสดงว่า วันนี้เรากำลังแย่
32.เกลียดใครมักได้คนนั้น
33.มีเรื่องสำคัญทีไร โทรศัพท์ ใช่ไม่ได้ทุกที เงินหมดเอย สัญญาณหายเอย เอาเข้าไปชีวิต
34.คำว่า"รอ"ไม่มีกำหนดการแน่นอน
35.ท้อง ตั้งใจผลิต มักไม่มี .. แต่ จะท้อง เมื่อเราไม่ได้ตั้งใจ
36.ชีวิตได้เปลี่ยนไป...เพราะวันนั้นวันเดียว
37.โลกสร้างตาไว้ข้างน่าให้เรา เดินก้าวไปข้างหน้าอย่างมีคุณภาพ
38.สุดท้าย ปาฏิหารย์ มักเกิดกับคนที่ไม่ท้อ


ขอบคุณบทความจาก ชุมชนการเรียนรู้

เหงื่อไหล ไคลย้อย เรื่องธรรมดาที่อาจผิดปกติ







เหงื่อไหล ไคลย้อย เรื่องธรรมดาที่อาจผิดปกติ (ไทยโพสต์)



ภาวะเหงื่อออกมากตอนหน้าร้อน หรือเมื่อต้องไปอยู่ท่ามกลางแสงแดดนั้น เป็นเรื่องปกติ บางคนอาจจะมีเหงื่อออกมากจนผิดปกติ แค่นั่งเฉย ๆ อยู่ห้องแอร์ เหงื่อก็ไหลชื้นแฉะไปทั้งตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝ่ามือฝ่าเท้า ที่แย่ที่สุดก็คือภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติบริเวณใต้วงแขน



ปัญหาเหงื่อไหลไคลย้อยดังกล่าว พญ.พักตร์พิไล ทวีสิน เปิดเผยว่า ภาวะนี้เจอได้ 2-3% ของคนทั่ว ๆ ไป แต่มีเพียงแค่ 1% เท่านั้นที่ต้องพบแพทย์เพราะควบคุมด้วยการใช้ยาดับกลิ่นระงับเหงื่อ หรือโรลออนปกติแล้วเอาไม่อยู่จำเป็นที่จะต้องใช้วิธีพิเศษ



หากเหงื่อออกมากเฉพาะส่วน เช่น รักแร้ ฝ่ามือ-ฝ่าเท้า มักจะหาสาเหตุของโรคไม่เจอ บางคนก็บอกว่าถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ถ้ามีเหงื่อออกมากมายตลอดทั้งตัว บางครั้งต้องหาสาเหตุเหมือนกัน เพราะบ่อยครั้งที่มีโรคภายในร่างกายที่พบได้บ่อยก็ ได้แก่ ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ผู้หญิงใกล้วัยทองที่เรียกว่า Hot flush หรือมีอาการสะบัดร้อน สะบัดหนาว อยู่ในห้องแอร์อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศา คนอื่นเขาใส่เสื้อหนาวนั่งทำงาน แต่ผู้หญิงใกล้วัยทองบางคนอาจจะเหงื่อแตกไปทั้งตัว บางคนมีการติดเชื้อผิดปกติบางอย่าง มีไข้สูง ๆ ต่ำ ๆ เป็นบางช่วง เช่น เป็นวัณโรคแอบแฝงก็ทำให้มีเหงื่อออกมากได้ รวมไปถึงมะเร็งบางชนิดก็อาจจะทำให้คุณมีภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ ซึ่งคงต้องสืบหาสาเหตุให้เจอ



สำหรับเหงื่อออกมากผิดปกติเฉพาะส่วน โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การรักษาง่าย ๆ โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ 10-15% ทาใต้วงแขน ก็มักจะช่วยระงับเหงื่อที่มากผิดปกติ รวมไปถึงช่วยดับกลิ่นได้ด้วย แต่ก็ต้องระมัดระวัง เพราะหากใช้เปอร์เซ็นต์สูงเกินไป ก็มีผลให้เกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากผิวใต้วงแขนนั้น มักจะเป็นผิวอ่อน บอบบาง



แต่พวกโรลออนดับกลิ่นตัวนั้น มักจะไม่มีส่วนผสมของอลูมิเนียมคลอไรด์ จึงได้แค่ลดกลิ่น แต่ไม่ระงับเหงื่อ หากใครเหงื่อออกมากที่มือและเท้า ทางการแพทย์เราใช้วิธีการทำไอออนโตโฟเรซิส (Iontophoresis) ให้แช่มือและเท้าในอ่างน้ำ พร้อมกับปล่อยกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ จากเครื่องไอออนโต จะช่วยไประงับการทำงานของต่อมเหงื่อ โดยต้องนั่งแช่อยู่ประมาณ 10-20 นาที และก็ต้องทำกันหลาย ๆ ครั้ง อย่างน้อย ๆ 6-10 ครั้ง สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง กว่าจะรู้สึกเห็นผล และได้ผลแค่ชั่วครั้งชั่วคราว แม้เมื่อภาวะเหงื่อออกตามมือตามเท้าดีขึ้นแล้ว ก็ยังจำเป็นที่จะต้องทำไอออนโตกันบ้าง ทุก ๆ 1-2 สัปดาห์ มิฉะนั้นก็จะกลับมาเหงื่อมากผิดปกติอีก



ถัดมาก็เป็นเรื่องของการใช้ยา สาเหตุที่ทำให้เหงื่อออกมากนั้น ก็เพราะว่ามีการกระตุ้นให้ระบบประสาทอัตโนมัติหลั่งสารที่เรียกว่า อะซิติลโคลีน (Acetylcholine) จากปลายประสาทมากผิดปกติ จนไปกระตุ้นให้ต่อมเหงื่อทำงานเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นแพทย์บางคนก็จะแนะนำให้ใช้ยาต้านกระแสประสาทที่เรียกว่า Anticholinergics ซึ่งควรจะใช้ในรายที่มีเหงื่อออกมากทั้งตัว เพราะถ้าหากเป็นเฉพาะที่รักแร้ แล้วต้องกินยาอาจมีผลเสียไปบล็อกกระแสประสาททั่วร่างกาย ทำให้เกิดอาการมึนงง การควบคุมระบบปัสสาวะผิดปกติ ปากแห้ง และอื่น ๆ ตามมาได้



ใหม่ล่าสุดที่ได้รับการยอมรับและผ่าน FDA ในสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ปี 2004 นั่นก็คือการใช้สารโบทูลินัมท็อกซิน A ฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีเหงื่อออกมากผิดปกติ สารตัวนี้ก็คือเจ้าโบท็อกซ์นั่นเอง "แปลว่าหากใครเป็นโรคนี้ ก็คงต้องทำใจที่จะโดนฉีดโบท็อกซ์ เจ็บตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ กัน ปีละ 1-2 ครั้ง ข้อดีก็คือ ช่วยลดภาวะกลิ่นตัวไปด้วยพร้อม ๆ กัน เนื่องจากเมื่อเหงื่อออกน้อย การหมักหมมของแบคทีเรียก็น้อย ก็จะทำให้กลิ่นตัวน้อยตามลงไปด้วย อาจมีข้อแทรกซ้อนได้บ้าง นั่นก็คือรอยฟกช้ำดำเขียวจากจุดที่ถูกเข็มฉีดยาจิ้ม และบางครั้งตัวยาโบท็อกซ์อาจจะซึมลึกไปมีผลถึงกล้ามเนื้อลึก ๆ ใต้วงแขน จนบางคนรู้สึกชาไปบ้าง แต่ก็มักจะหายได้เองภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์" คุณหมอพักตร์พิไลกล่าว


คุณหมอย้ำว่า การดูแลสุขภาพร่างกายส่วนนี้ไว้บ้างเป็นเรื่องไม่ควรมองข้าม เพราะบางครั้งอาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บแอบแฝง ซึ่งคงต้องปรึกษาแพทย์ดู เพื่อที่จะรู้ว่าคุณมีปัญหาโรคอื่น ๆ หรือไม่ ถ้าหากแน่ใจว่าไม่มีปัญหาอื่น ๆ แล้ว การดูแลรักษาสุขลักษณะส่วนตัว ก็จะช่วยให้คุณมีความมั่นใจในตัวเองที่ดี อย่างน้อยเริ่มต้นด้วยการอาบน้ำ ทำความสะอาดตัวเองให้ได้เป็นประจำ ใช้ยาระงับกลิ่น (Deodorant) และยาระงับเหงื่อ (Antiperspirants) และอาจใช้แป้งฝุ่น แป้งเด็ก เข้ามาช่วยสักนิดหนึ่ง เลือกเสื้อผ้าอีกสักหน่อย เพราะหากใช้เสื้อผ้าที่ตัดเย็บมาจากวัสดุสังเคราะห์ มักจะมีผลให้การระบายเหงื่อไม่ค่อยดี เลือกใช้ผ้าฝ้ายจะช่วยให้เหงื่อที่ไหลออกมานั้น ระเหยหายไปได้เร็วกว่า ไม่ติดเหนียวอยู่ที่ตัว หากจำเป็นจริง ๆ ก็ต้องถึงมือคุณหมอ ทำไอออนโตหรือทำการฉีดโบท็อกซ์ซะ จะได้หมดห่วง หมดกังวลกับปัญหานี้





ขอขอบคุณข้อมูลจาก




7 ความลับ ที่ (เรา) อยากบอก


ความลับเกี่ยวกับตัวคุณ ที่ (เรา) อยากบอก (ไทยรัฐ)

โดย Liz Vaccariello


เชื่อหรือไม่ว่า สัญชาตญาณในการดมกลิ่นของคุณหรือความยาวของนิ้วมือคุณ สามารถทำนายถึงสุขภาพในอนาคตของคุณได้ นักวิทยาศาตร์พบว่า ลักษณะทางกายภาพที่แน่นอนของคนเรา สามารถแสดงให้เห็นถึงปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคอัลไซเมอร์ เบาหวาน หรือมะเร็ง ซึ่งถ้าคุณมีลักษณะบางอย่างที่จะกล่าวต่อไป ขอให้อย่าเพิ่งตกใจ เพียงแค่เป็นข้อควรระวังเท่านั้น เริ่มจาก


1. ความยาวของนิ้วมือ

จากผลการวิจัยของอังกฤษ พบว่าคุณสุภาพสตรีท่านใดที่มีความยาวของนิ้วชี้น้อยกว่านิ้วนางหล่ะก็ นั่นแสดงว่า คุณมีโอกาสตกอยู่ในภาวะโรคข้อกระดูกเสื่อมที่หัวเข่ามากกว่าคนที่ีนิ้วชี้ ยาวกว่านิ้วนางถึง 2 เท่า นอกจากนี้ผลการวิจัยยังพบอีกว่า สำหรับผู้ชายที่มีนิ้วชี้สั้นกว่านิ้วนาง แสดงว่ามีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในระดับต่ำ ซึ่งเจ้าฮอร์โมนนี้มีบทบาทสำคัญในการก่อให้เกิดโรคไขข้อกระดูกอักเสบ ข้อแนะนำ พยายามทำให้กล้ามเนื้อรอบๆ หัวเข่าของคุณแข็งแรงขึ้น ขณะที่นั่งอยู่ก็ให้พยายามยืดขาของคุณแต่ละข้างให้ตรงในแนวที่ขนานกับพื้น ประมาณ 10 ครั้ง และหดขาเข้ามาประมาณ 5-10 วินาที


2.ความยาวของขา

ถ้าขาทั้ง 2 ข้างของคุณมีลักษณะสั้นม้อต้อ คำเตือนคือ คุณต้องหมั่นดูแลรักษาตับของคุณให้อยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ผู้หญิงที่มีความยาวของขาระหว่าง 20-29 นิ้ว มีแนวโน้มว่าจะมีอัตราของเอนไซม์ 4 ตัวที่สูงเกินไปจนอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อตับ นักวิจัยยังระบุอีกว่า ปัจจัยเรื่องของอาหารการกินในวัยเด็กนั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญ ไม่ได้ส่งผลเฉพาะต่อการเจริญเติบโตเท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงพัฒนาการของตับในตอนโตอีกด้วย ข้อแนะนำ หลีกเลี่ยงกระบวนการที่จะส่งสารพิษไปยังตับของคุณ เพราะนั่นจะช่วยทำให้ตับของคุณมีสุขภาพดีและยืดอายุการทำงานของมัน และคุณไม่ควรลืมสวมถุงมือหรือหน้ากากทุกครั้งที่ต้องสัมผัสกับสารอันตราย หรือสารเคมี ที่สำคัญต้องจำกัดปริมาณเครื่องดื่มแอลกฮอล์ต่อวันด้วย


3.สัญชาตญาณในการดมกลิ่น

จากผลการศึกษาเมื่อปี 2008 พบว่า ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือวัยรุ่นที่ไม่สามารถระบุกลิ่นของกล้วย มะนาว ชินนามอน (อบเชย) หรือกลิ่นของสิ่งอื่นๆได้ แน่นอนว่าคุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเป็นโรคพาร์กินสันภายใน 4 ปีมากกว่าคนปกติถึง 5 เท่า ซึ่งนักวิจัยเชื่อว่า พื้นที่ของสมองที่รับผิดชอบประสาทสัมผัสการดมกลิ่นเป็นส่วนที่แรกที่จะส่งผล ต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน บางครั้งอาจต้องใช้เวลาถึง 2-7 ปีกว่าจะแสดงอาการออกมาให้เห็น


4.ความยาวของแขน

ผลการวิจัยล่าสุดจากมหาวิทยาลัย Tufts พบว่า สำหรับผู้หญิงที่มีแขนค่อนข้างสั้น มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์มากกว่าคนที่มีท่อนแขนยาว ซึ่งคุณผู้หญิงสามารถทดสอบได้โดยการกางแขนของคุณขนานไปกับพื้นแล้ววัดความ ยาว หากน้อยกว่า 60 นิ้วถือว่ามีความยาวของแขนค่อนข้างน้อย ข้อแนะนำ พยายามทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายอะไรที่ต้องใช้การยืดแขนของคุณ เช่น การวาดภาพ ทำงานปั้น เป็นต้น จากผลการศึกษากว่า 5 ปี ของศูนย์อัลไซเมอร์ มหาวิทยาลัยศูนย์การแพทย์รัช พบว่า วัยรุ่นที่ใช้เวลาส่วนมากทำกิจกรรมที่ใช้พลังงาน หรือสมอง มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคอัลไซเมอร์น้อยกว่าคนที่ไม่ทำกิจกรรมอะไรเลย 2.5 เท่า


5.รอยพับหรือรอยย่นที่ใบหูส่วนล่าง

ลักษณะรอยย่นที่เป็นเส้นตรงที่ปรากฏบนใบหู ไม่ว่าข้างเดียวหรือสองข้าง สามารถทำนายอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งหากเป็นรอยพับที่หูข้างเดียว นั่นแสดงว่าคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 33% แต่ถ้าเป็นทั้งสองข้างนั่นแสดงคุณมีอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรค 77% อย่างไรก็ตามแม้ลักษณะดังกล่าวจะไม่ได้รับการยืนยันจากผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยอาการดังกล่าวที่ปรากฏให้เห็นก็เป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังขาด ไฟเบอร์ที่ช่วยด้านความยืดหยุ่น ข้อแนะนำ พยายามช่วยให้หัวใจของคุณแข็งแรงด้วยการควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อลดคอลเรสเตอรอลและความดันในเลือด

6.ขนาดกางเกงยีนส์

จากรายงานด้านประสาทวิทยา พบว่าวัยรุ่นที่มีพุงค่อนข้างใหญ่ จะเสี่ยงต่อการเกิดอาการทางจิต หรือโรคจิตเสื่อม เพราะจากการศึกษาพบว่าในคนที่มีพุงหรือหน้าท้องใหญ่ เท่ากับว่าพวกเขามีไขมันที่เป็นอันตรายอยู่ใต้ผิวหนัง และเกาะอยู่ตามระบบอวัยวะต่างๆ ที่ส่งผลต่อฮอร์โมนที่ควบคุมระบบของความรู้สึกนึกคิด ข้อแนะนำ ใส่ใจในการเลือกรับประทานอาหารมากขึ้น หันมาเลือกทานพวกน้ำมันมะกอก ถั่ว เมล็ดอโวคาโด และดาร์กช็อกโกแลต เพื่อป้องกันไขมันที่เป็นอันตราย

7.ขนาดของหน้าอก

จากผลการศึกษาของฝรั่งเศสพบว่า ผู้หญิงที่มีหน้าอกขนาดเล็กขนาด 13 นิ้วหรือน้อยกว่า มีแนวโน้มจะเกิดคราบหรือตัวสกัดกั้นเส้นเลือดสำคัญบริเวณลำคอ อันจะก่อให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลัน นักวิจัยบอกว่า ไขมันที่อยู่ใต้ผิวหนังในผู้หญิงที่มีหน้าอกใหญ่จะมีมากกว่าคนที่หน้าอกเล็ก ซึ่งไขมันเหล่านี้จะทำหน้าที่ดึงไขมันตามเส้นเลือดและเก็บมันไว้ เพื่อลดอัตราเสี่ยงการเกิดอาการดังกล่าว ข้อแนะนำ จากผลการวิจัยพบว่าหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นที่ดื่มชาเขียววันละ 5 แก้วหรือมากกว่านั้น จะช่วยลดอัตราเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ หรือภาวะสมองขาดเลือดเฉียบพลันได้


ขอขอบคุณข้อมูลจาก ไทรัฐ

สุขภาพ นมวัว กับ นมถั่วเหลือง นมไหนดีกว่ากัน















"ที่เค้าว่านมถั่วเหลืองดีอย่างโน้นอย่างนี้ แถมราคาก็ถูกกว่านมวัว แล้วอย่างนี้เราจะหันมาดื่มนมถั่วเหลืองแทนนมวัวซะเลยจะดีไหม"


คำถามนี้เคยเกิดขึ้นในใจ คุณบ้างรึเปล่า? วันนี้เราจะมาไขข้อสงสัยที่ว่านี้กันให้ชัด ๆ เลย
ในเรื่องของโปรตีน ถ้าทำน้ำถั่วเหลืองจากสูตร ถั่วเหลือง 1 ส่วนต่อน้ำ 8 ส่วน จะได้โปรตีนใกล้เคียงกับนมวัว คือ ดื่มนมถั่วเหลือง 1 แก้ว (200 มิลลิลิตร) จะได้โปรตีน ประมาณ 6 กรัม (นมวัว 1 แก้ว จะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม) แต่คุณภาพโปรตีนในนมวัวมีความสมบูรณ์ของกรดอะมิโนที่เป็นส่วนประกอบของโปรตีนดีกว่าโปรตีนจากถั่วเหลืองที่มาจากพืช แต่คุณภาพของโปตีนในนมถั่วเหลือง ก็สามารถเสริมให้ดีขึ้นได้ ด้วยการเติมเครื่องต่าง ๆ อย่างที่นิยมกัน เช่น ลูกเดือย สาคู ถั่วแดงลงไป ได้ทั้งความอร่อยแถมคุณค่าของโปรตีนสมบูรณ์ขึ้น
พลังงานที่ได้จากนมวัวจะมีไขมันมากกว่านมถั่วเหลืองถึง 2 เท่า คือนม วัว 1 แก้วจะให้พลังงาน ประมาณ 170 แคลอรี่ ส่วนนมถั่วเหลืองจะให้เพียง 80 แคลอรี่ เท่านั้น แต่คนที่ดื่มนมถั่วเหลืองเติมน้ำตาลมาก จนมีรสหวานกว่านมสดรสหวาน ก็จะได้พลังงานทั้งหมดพอ ๆ กัน แม้ว่านมถั่วเหลืองจะให้แคลเซียมที่น้อยกว่านมวัว แต่ให้ธาตุเหล็กและวิตามินบีหนึ่งที่มากกว่า
เราดื่มนมถั่วเหลืองทดแทนนมวัวไม่ได้ เพราะจะมีแคลเซียมน้อยกว่านมวัวอยู่มาก แต่หากมีการเสริมแคลเซียมลงในนมถั่วเหลือง ก็เท่ากับว่าเสริมคุณค่าทางโภชนาการให้สมบูรณ์มากขึ้น สำหรับผู้ที่ต้องการดื่มนมถั่วเหลืองเป็นอาหารเสริมก็ควรดื่ม วันละ 1-2 แก้ว
หากเป็นนมถั่วเหลืองธรรมดาที่ไม่ได้มีการเสริมแคลเซียม ขอแนะนำให้ดื่มนมวัวบ้างประมาณวันละ 1-2 แก้ว สำหรับผู้ใหญ่ หรือ 2-3 แก้วสำหรับเด็ก เช่นเดียวกับหญิงมีครรภ์หรือให้นมบุตร เพื่อจะได้แคลเซียมอย่างเพียงพอกับความต้องการของร่างกายในสภาวะนั้น ๆ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

เคล็ดลับจอดรถเข้าซอง แบบขนาน











วิธีจอดรถข้างถนนเมื่อมีช่องว่างระหว่างรถสองคันให้เราเข้าจอดตรงกลาง


1.สังเกตที่จอดควรมีที่ว่างอย่างน้อยเท่ากับรถเราบวกกับอีกราวๆ 51 ฟุต

2.ขับเลยไปจอดขนานกับคันหน้า โดยให้รถเราห่างจากรถข้างๆประมาณ 2 ฟุต

3.ถอยรถพร้อมหักพวงมาลัยจนสุด ถอยช้าๆจนท้ายรถมุมด้านติดถนนของรถเราชี้ตรงไป
หน้ารถคันหลัง มุมด้านติดถนน

4.คืนพวงมาลัยกลับ ให้อยู่แนวตรง

5.ถอยต่อจนเลยรถคันหน้าเต็มคัน หักพวงมาลัยจนสุดอีกครั้ง และถอยช้าๆจนเข้ามาห่างจากรถคันหลังประมาณ 1 ฟุต

6.คืนพวงมาลัยและเลือนรถไปด้านหน้าช้าๆจนขนาน





ขอบคุณข้อมูล : สะกิด.คอม

วันจันทร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

โคมลอย ทำไมต้องลอยโคม?


โคมลอยที่เราเห็นๆกัน ว่านิยมลอยกันในเทศกาลลอยกระทง ทางภาคเหนือ ทำไมถึงต้องลอย และเขาลอยกันเพื่ออะไร?
โคมลอย นิยมลอยกันในเทศกาลลอยกระทง ทางภาคเหนือเรียกว่าประเพณี ยี่เป็ง เป็นประเพณีลอยกระทงของชาวล้านนา ซึ่งหมายถึงวันเพ็ญเดือน 2 เป็นการนับเดือนตามจันทรคติ โดยคำว่า ยี่เป็ง เป็นภาษาเหนือ ยี่ แปลว่า สอง และคำว่า เป็ง ตรงกับคำว่า เพ็ง หรือ เพ็ญ หมายถึงพระจันทร์เต็มดวง คือวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 2 นั่นเอง
โคมลอย ที่คนท้องถิ่นล้านนาส่วนใหญ่เรียกติดปากว่า ว่าว สามารถแบ่งย่อยได้สองประเภท ได้แก่ โคมลอยกลางวัน (ว่าวโฮม-ว่าวควัน) กับ โคมลอยกลางคืน (ว่าวไฟ) นอกจากนี้ยังมีโคมแขวน ที่จัดเป็นโคมอีกชนิดเช่นกันเพียงแต่ใช้แขวนตามบ้านเรื่อนไม่ได้ใช้ลอย
โดยโคมที่ใช้ลอยกลางวันนั้น จะใช้กระดาษที่มีสีสันจำนวนหลายสิบแผ่นในการทำ เพื่อให้เห็นในระยะทางไกลแม้จะอยู่บนท้องฟ้า จะมีการตกแต่งด้วยการใส่หาง หรือขณะที่ทำการปล่อยมักใส่ลูกเล่นต่างๆเข้าไปด้วย เช่นใส่ประทัด ควันสี เครื่องบินเล็ก ตุ๊กตากระโดดร่ม เป็นต้น บางท้องที่นิยมใส่เงินลอยขึ้นไปอีกด้วย วิธีการปล่อย จะต้องใช้การรมควันให้เต็มโคม เมื่อได้ที่แล้วจึงปล่อย
ส่วนโคมลอย ที่ใช้ลอยกลางคืน นิยมใช้กระดาษสีขาว เนื่องจากจะโปร่งแสงเมื่อลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว ขนาดก็จะย่อมกว่าโคมลอยกลางวัน วิธีการปล่อยจะใช้เชื้อไฟ หรือขี้ไต้ จุดเพื่อให้ความร้อนส่งโคมลอยขึ้นบนฟ้า จะมีการเพิ่มเติมดอกไม้ไฟน้ำตก ดาวตก ประทัด เพื่อเพิ่มสีสันอีกด้วย
กุศโลบายของการจุดโคมลอยปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ก็เพื่อบูชาพระเกตุแก้วจุฬามณีบนสรวงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ รวมทั้งเชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ ให้ประสพแต่สิ่งดีงาม สร้างความสามัคคี และที่สำคัญเป็นการอนุรักษ์ประเพณีอันดีงามที่สืบทอดมาแต่ครั้งปู่ย่าตายาย

วุฒิชัย วงค์ษาสิงห์ เรื่อง